วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ

การสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
" ถ้าไม่มีความรู้ด้านไวยากรณ์ เราก็จะสื่อสารได้ไม่มากนัก แต่ถ้าไม่รู้คำศัพท์ เราก็ไม่สามารถจะสื่อความหมายได้เลย"อาจกล่าวได้ว่า การที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนต้องมีความรู้ด้านไวยากรณ์และคำศัพท์อย่างสมดุลกัน เพื่อให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษน่าสนใจ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษสอนอย่างไรให้ได้ผล " ถ้าไม่มีความรู้ด้านไวยากรณ์ เราก็จะสื่อสารได้ไม่มาก
1. บทบาทของคำศัพท์ในการสอนภาษา การสอนคำศัพท์โดยมีจุดหมายให้ผู้เรียนนำไปสื่อสารได้ ผู้เรียนต้องมีความรู้คำศัพท์ อย่างลึกซึ้งในเรื่องต่อไปนี้
- สารมารถออกเสียงได้ถูกต้อง
- สามารถสะกดคำได้ถูกต้อง
- ใช้คำศัพท์ร่วมกับคำอื่นได้
- สามารถจดจำได้ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน
- สามารถนึกคำศัพท์ได้ทันทีที่เวลาต้องการพูด
- สามารถนำคำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้
- สามารถใช้คำศัพท์ได้ถูกหลักไวยากรณ์
- สามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
2. เทคนิคการสอนคำศัพท์
- สอนโดยการสาธิต ใช้ท่าทางประกอบ
- สอนโดยใช้สื่อ เช่น รูปภาพ หุ่นจำลอง ของจริง แผ่นใส เขียนบนกระดานดำ
- อธิบายด้วยคำพูด เช่น การใช้คำเหมือน การใช้คำตรงกันข้าม
3. แบบฝึกหัดเกี่ยวกับคำศัพท์ เช่น
- cross word
- Matching word and definition exercise
- Vocabulary game and activities
การ สอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ได้ผล ผู้สอนใช้กลวิธีการสอนดังกล่าวข้างต้นและต้องกระทำอย่างต่อเนื่องทั้งในเวลา ปกติในห้องเรียนและนอกห้องเรียน อาจจัดเป็นมุม Vocabulary เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างมีความสุขมากขึ้น
การ จัดกิจกรรมทบทวนคำศัพท์ ทำได้โดย ทบทวนคำศัพท์เดิม ทบทวนการใช้คำศัพท์แต่งประโยค แต่งเรื่อง โดยให้แต่งให้เป็นปริศนา สำหรับใช้ทายคนอื่น (ผู้สอนคววรเตรียมสื่อเสริมด้วย) ผู้เรียนจะมีโอกาศฝึกกระบวนการคิดทั้ง 3 ขั้นตอน จะต้องบูรณาการร่วมกับวิชาศิลปะ ในการตกแต่งชิ้นงาน หรือทำภาพเฉลย ชิ้นงานอาจเป็นแผ่นพับ หนังสือเล่มเล็ก เช่น
I have a round shape. The children like to play
with me. They try to kick me into their goal.
Guess who I am. ?

I am long and yellow.
I grow in tropical hot countries.
Monkeys always like to eat me.
Guess who I am. ?

I have four legs, but I can’t walk.
People sleep in me at night.
Guess who I am. ?

I am long. I made of wood and lead. You use me for write and drawing.
Guess who I am. ?
ทดลอง ทายในห้องเรียน และในการอบรมเข้าค่ายทักษะกระบวนการเรียนรู้ เป็นที่สนใจและทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ว่า ถ้าจะสร้างเป็นปริศนาคำทายเพื่อทายคนอื่นบ้างจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคำ ศัพท์พอสมควร
Tropical

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

แนะนำตัว

ชื่อนาย อรุณ เมียดสีนา
ชื่อเล่น โอม
คณะครุศาสตร์ โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ
ชั้นปีที่ 3 รหัสนักศึกษา 504102013
พักที่ หอมิ่งขวัญ ห้อง 7205
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี

อาจารย์ที่ปรึกษา อ.ดร.สงวนศรี โทรอค
ประธานสาขาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ
ระดับปริญญาโท

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี

นักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี ผู้ตั้งคณะฟรังซิสกัน ( ค.ศ. 1182 - 1226)
ฉลอง 4 ตุลาคม

ฟรังซิส เกิดที่เมืองอัสซีซี ประเทศอิตาลี เป็นบุตรชายของพ่อค้าที่รํ่ารวย ขณะยังหนุ่มเป็นคนชอบสนุกสนาน ไม่จริงจังกับชีวิต ครั้งหนึ่ง ท่านป่วยหนักและได้ยินพระเยซุเจ้าตรัสเรียกท่านให้สละความสุขฝ่ายโลกและติดตามพระองค์ ท่านจึงกลับไปเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่โดยยึดพระวรสารที่ว่า " สิ่งที่ท่านได้ปฎิบัติต่อพี่น้อง แม้ที่ตํ่าต้อยของเรา นั่นแหละเท่ากับได้ปฎิบัติต่อเรา " (มธ. 25 : 40) ท่านได้พยายามเจริญชีวิตตามคำสอนของพระเยซูเจ้า โดยละความเห็นแก่ตัว และมอบตนเองแด่พระเป็นเจ้า เจริญชีวิตยากจน เรียบง่าย ช่วยเหลือคนจน จากนั้นท่านได้สละสมบัติอันเป็นมรดกทั้งหมด ต้องเที่ยวขอทานและทำงานรับใช้คนโรคเรื้อน
ต่อมามีผู้เลื่อมใสศรัทธา ทั้งชายและหญิงได้มาขอเจริญชีวิตกับท่าน ท่านได้แนะนำสมาชิกเหล่านี้ให้ยึดถือตามอุดมคติแห่งพระวรสาร ให้เป็นคนสุภาพถ่อมตน อ่อนหวาน ร่าเริง จริงใจ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า กับธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์ทุกคน ท่านเน้นให้สมาชิกต้องทำงานเลี้ยงชีพด้วยนํ้าพักนํ้าแรงของตน และนำทรัพย์สินทั้งวัตถุและจิตใจมารวมเป็นกองกลางเพื่อแบ่งปันกัน สมาชิกเหล่านี้ได้พัฒนาเป็นคณะนักพรต " ฟรังซิสกัน " และคณะนักพรตหญิง" คลาริส " และคณะฆราวาสฟรังซิสกัน
สัญญลักษณ์แห่งความรักของฟรังซิสกันต่อพระเยซูเจ้าคือ บังเกิดรอยแผลแห่งพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าบนร่างกายของท่าน ที่มือ ที่เท้า และที่สีข้าง ตลอดชีวิตของท่าน ท่านสวดภาวนาเมื่อใกล้จะสิ้นใจว่า." พระเจ้าข้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ ที่ทรงโปรดให้ลูกมีส่วนในพระมหาทรมานของพระองค์

นักบุญมาร์การีตา มารีย์ อาลาก๊อก

นักบุญมาร์การีตา มารีย์ อาลาก๊อก พรหมจารีย์ (ค.ศ. 1647 - 1690)
ฉลอง 16 ตุลาคม

มาร์การีตา เกิดในประเทศฝรั่งเศส หลังจากรับศีลมหาสนิทครั้งแรกแล้วไม่นาน เธอเป็นโรคอัมพาต แต่แม่พระโปรดรักษาให้หาย และเมื่อโมทนาคุณเหตุการณ์นี้ เธอสัญญาว่าจะอุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเธออายุได้ 17 ปี พระเยซูเจ้าประจักษ์มาหาเธอ พร้อมทั้งบาปแผลที่ไปด้วยพระโลหิต เธอจึงตัดสินใจเข้าบวชเป็นซิสเตอร์ใน " คณะแม่พระเสด็จเยี่ยมนักบุญเอลีซาเบธ "
ซิสเตอร์มาร์การีตา มารีย์ รักพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทอย่างล้นพ้น และพระเยซูเจ้าก็ทรงตอบสนอง โดยให้เธอเห็นดวงหทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์มีเปลวเพลิงพุ่งออกมา และมีมงกุฎหนามสวมดวงหทัยนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสัญญาแก่เธอว่า พระองค์จะโปรดประทานพรนานาประการแก่ผู้ที่ถวายเกียรติแด่พระหฤทัยของพระองค์ ทั้งจะให้เขาอยู่ในศีลมหาสนิท แลพพระพรในยามเมื่อใกล้จะตายด้วย ถ้าหากเขาจะรับศีลมหาสนิทในวันศุกร์ต้นเดือนติดต่อกันถึง 9 ครั้ง
พระเยซูเจ้าขอร้องให้เธอทำการชดเชยบาปแทนการเนรคุณมนุษย์ ให้เธอเฝ้าศีลมหาสนิทและเผยแพร่ความรักที่พระหฤทัยของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์

นักบุญเทเรซา

นักบุญเทเรซา แห่งพระกุมารเยซู พรหมจารีย์ (ค.ศ. 1873 - 1897)
ฉลอง 1 ตุลาคม
เทเรซา เกิดที่อลังซอง ประเทศฝรั่งเศส เธอตั้งใจจะเป็นนักบุญตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งเธอกล่าวว่า " ตั้งแต่ 3 ขวบ ฉันไม่เคยปฎิเสธสิ่งใดต่อพระเป็นเจ้าเลย และฉันไม่เคยให้สิ่งใดแก่พระองค์นอกจากความรัก " เมื่อเทเรซาอายูได้ 8 ขวบเธอเจ็บหนัก แต่เธอได้เห็นรูปแม่พระยิ้มฉายแสงแห่งความอ่อนหวานกับเธอ แล้วความเจ็บไข้ก็สูญสิ้น
เทเรซา สมัครเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเป็นซิสเตอร์ที่อารามคาแมล เมื่ออายุ 15 ปี และเมื่อเธอบวช ได้รับชื่อว่า "เทเรซาแห่งพระกุมารเยซู " เทเรซาพยายามอุทิศตนเพื่อ " กอบกู้วิญญาณเพื่อนมนุษย์ และเป็นต้นภาวนาเพื่อพระสงฆ์" อาศัยทางน้อยๆแห่งความไว้ใจ และการเสียสละตนเอง ทำให้เทเรซาบรรลุถึงยอดแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เธอได้ปฎิบัติภารกิจทางความรักและทรมาน เธอทำพลีกรรม และกิจการเล็กๆน้อยๆ ซึ่งกลายเป็นบุญกุศลขึ้นวีรกรรมด้วยความรักอันยิ่งใหญ่
เมื่อจวนจะตายเธอสัญญาว่า " ฉันจะโปรยปรายฝนดอกกุหลาบลงมาจากสวรรค์ " เธอกอดกางเขนไว้กับทรวงอกพลางภาวนาว่า " พระเจ้าข้า ลูกรักพระองค์อย่างสิ้นสุด " และจากโลกนี้ไปด้วยความสงบเมื่ออายุ 24 ปี

นักบุญเทเรซา

เธอเป็นซิสเตอร์ที่อยู่แต่ในอาราม หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ชีมืดนั่นเอง เรารู้จักเธอในนามดอกไม้น้อยๆ ของพระเยซูเจ้า

นักบุญเทเรซา เกิดวันที่ 2 มกราคม 1873 ที่อลังซอง ประเทศฝรั่งเศส เธอตั้งใจเป็นนักบุญตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งเธอกล่าวว่า "ตั้งแต่ 3 ขวบ ฉันไม่เคยปฎิเสธสิ่งใดต่อพระผู้เป็นเจ้าเลย และฉันไม่เคยให้สิ่งใดแก่พระองค์เลย นอกจากความรัก" เมื่อนักบุญเทเรซา อายุ 8 ขวบ เธอเจ็บหนัก แต่เธอได้เห็นรูปแม่พระยิ้มฉายแสงแห่งความอ่อนหวาน กับเธอ แล้วความเจ็บไข้ก็สูญสิ้นไป
นักบุญเทเรซา ได้สมัครเข้าฝึกอบรมเพื่อเป็นซิสเตอร์ในอารามคาร์แมล เมื่ออายุ 15 ปี และเมื่อเธอบวช ได้รับชื่อว่า "เทเรซา แห่งพระกุมารเยซู" เทเรซา พยายามอุทิศตนเพื่อ "กอบกู้วิญญาณเพื่อนมนุษย์ และเป็นต้นภาวนาเพื่อพระสงฆ์" อาศัยทางน้อยๆ แห่งความไว้วางใจ และการเสียสละตนเอง ทำให้เทเรซาบรรลุถึงยอดแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เธอได้ปฎิบัติภารกิจทางความรัก และทรมาน เธอพลีกรรม และกิจการเล็กๆน้อยๆ ซึ่งกลายเป็นบุญกุศลขึ้น แม้จวนจะสิ้นชีวิตเธอสัญญาว่า "ฉันจะโปรยฝนดอกกุหลาบ ลงมาจากสวรรค์" เธอกอดไม้กางเขนไว้แนบอกพลางภาวนาว่า "พระเจ้าข้า ลูกรักพระองค์อย่างสิ้นสุด" และจากโลกนี้ไปด้วยความสงบเมื่ออายุ 24 ปี

เธอเป็นลูกคนที่เก้าของนายหลุยส์มาร์ตินและนางเซลลี่มาร์ติน พ่อแม่ที่มีความศรัทธาและความรักต่อพระเป็นเจ้า ทั้งสองคนอยากถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าเป็นนักบวชในอาราม พระองค์ไม่ได้เรียกเขาสองคนเป็นนักบวช แต่ทรงประทานพระกระแสเรียกแก่ลูกๆ แทน ลูกสาวห้าคนเป็นนักบวช คนหนึ่งเป็นชีคณะแม่พระเสด็จเยี่ยม และอีกสี่คนเป็นชีมืดที่คอนแวนต์ลิซิเออร์ เทเรซาได้รับการเลี้ยงดูและการอบรมอย่างดีในครอบครัวที่มีบรรยากาศแห่งความเชื่อ บุญกุศลทุกชนิด และแบบอย่างที่ดีงาม เธอได้รับพระกระแสเรียกตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น เธอได้รับการศึกษาอบรมจากนักบวชคณะเบเนดิกติน เมื่อเธออายุเกือบสิบห้าปีเธอได้สมัครเป็นชีมืด แม่อธิการได้ปฏิเสธ เทเรซาได้เดินทางไปกรุงโรมกับพ่อของเธอ ผู้ซึ่งมีความเร่าร้อนอยากถวายลูกสาวแด่พระเป็นเจ้า เหมือนลูกสาวอยากเป็นนักบวช เธอได้ไปขออนุมัติจากพระสันตะปาปาเลโอที่สิบสาม ขณะนั้นพระองค์กำลังฉลองบวชเป็นสงฆ์ครบห้าสิบปี พระองค์ประทับใจในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเธอ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามการตัดสินใจของแม่อธิการ ในที่สุดเธอได้รับอนุมัติเป็นนักบวชเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1888 ตอนนั้นเธออายุเพียงสิบห้าปี เธอเข้าอารามลิซิเออร์ ที่ซึ่งพี่สาวเธอสองคนได้เป็นชีมืดก่อนเธอ

เธอรู้ในการเป็นชีมืดเธอไม่อาจประกอบกิจการใหญ่โต "ความรักพิสูจน์ตัวด้วยการกระทำ แล้วฉันจะแสดงความรักอย่างไร? ฉันถูกห้ามทำกิจการใหญ่โต วิธีเดียวที่ฉันสามารถพิสูจน์ความรักของฉัน คือ การโปยดอกไม้ และดอกไม้เหล่านี้คือการพลีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ทุกชนิด ไม่ว่าการมอง การพูดจา หรือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันสามารถแสดงความรัก" เธอทำพลีกรรมทุกครั้งที่เธอมีโอกาส ไม่ว่าจะเล็กขนาดไหนก็ตาม เธอยิ้มให้กับเพื่อนนักบวชที่เธอไม่ชอบ เธอรับประทานอาหารตามที่คนตักให้โดยไม่บ่น ด้วยเหตุนี้ คนมักให้อาหารที่เหลือหรือที่ไม่มีใครอยากกินแก่เธอ ครั้งหนึ่งเธอถูกกล่าวหาว่าเธอได้ทำแจกันแตก เธอไม่ได้ทำและไม่มีความผิด แต่เธอคุกเข่าลงขออภัยโทษ การพลีกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทรมานเธอทางด้านจิตใจยิ่งกว่าการพลีกรรมใหญ่ๆ เพราะไม่มีใครมองเห็น หรือรับรู้กิจการดีของเธอนอกจากพระเป็นเจ้าเท่านั้น เธอกังวลว่าเธอจะบรรลุความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตได้อย่างไร เธอไม่ต้องการเป็นเพียงคนดีเท่านั้น เธอต้องการเป็นนักบุญ เธอเชื่อว่าต้องมีวิธีสำหรับคนที่ดำรงชีวิตซ่อนเล้นอย่างเธอ "ฉันมีความปรารถนาอยากเป็นนักบุญ เมื่อฉันเปรียบเทียบตัวเองกับนักบุญหลายองค์ ฉันพบข้อแตกต่างระหว่างภูเขาที่มียอดสูงหายเข้าไปในกลีบเมฆ กับเมล็ดทรายที่อยู่บนพื้นดินถูกคนเหยียบย่ำ แทนที่จะท้อใจ ฉันบอกตัวเองว่า พระเป็นเจ้าคงไม่ปรารถนาให้ฉันทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และถึงแม้ฉันเป็นเพียงความเล็กน้อย ฉันก็ยังบรรลุเป้าหมายของการเป็นนักบุญได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะทำกิจการใหญ่โต ดังนั้นฉันยอมรับความเป็นตัวของฉันเอง ที่มีข้อบกพร่องนับไม่ถ้วน แต่ฉันจะต้องหาให้พบวิธีไปสวรรค์ ซึ่งจะเป็นทางเล็กๆ สั้นๆ ตรงไปเมืองสวรรค์ และเป็นเส้นทางใหม่"

"เราอยู่ในยุคแห่งการประดิษฐ์ เราไม่ต้องก้าวขึ้นบันไดเป็นชั้นๆ ในบ้านของคนที่ร่ำรวยมีลิฟต์ และฉันตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวในการหาลิฟต์ที่พาฉันไปหาพระเยซูเจ้า เพราะฉันตัวเล็กเกินไปที่จะปีนขึ้นบันไดชันๆ ไปสู่ความดีครบครัน ดังนั้นฉันได้ค้นหาในพระวารสารเกี่ยวกับชีวิตที่ฉันอยากเป็น และอ่านคำเหล่านี้: "ใครก็ตามที่ตัวเล็กๆ ให้มาหาเรา" แขนของพระเยซูเจ้าเองเป็นลิฟต์พาฉันเข้าสวรรค์ และดังนั้นไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องโตขึ้น ฉันต้องเป็นตัวเล็กๆ ต่อไปและต้องเล็กลงไปเรื่อยๆ "

เธอกังวลเกี่ยวกับพระกระแสเรียกของเธอ: "ฉันรู้สึกในตัวฉันมีพระกระแสเรียกของพระสงฆ์และของอัครสาวก การเป็นมรณะสักขีเป็นความฝันตอนฉันเป็นเด็ก และความฝันนี้เติบโตพร้อมกับตัวฉัน พิจารณาถึงพระกายศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ของพระศาสนจักร ฉันปรารถนาเห็นตัวเองอยู่ในอวัยวะทุกส่วนของพระกายศักดิ์สิทธิ์นั้น ความมีใจเมตตากรุณาเป็นกุญแจพาฉันไปพบพระกระแสเรียกของฉัน ฉันเข้าใจพระศาสนจักรมีดวงใจ และดวงใจนี้ร้อนรนด้วยความรัก ฉันเข้าใจความรักบรรจุพระกระแสเรียกทุกชนิด ความรักเป็นทุกสิ่ง ความรักโอบอุ้มกาลเวลาและสถานที่ สรุป ความรักชั่วนิรันดร! ในความยินดีเหลือล้น ฉันร้องออกมา: โอ้ พระเยซูเจ้า พระองค์เป็นองค์ความรัก และพระกระแสเรียกของข้าพเจ้า ในที่สุดข้าพเจ้าได้ค้นพบพระกระแสเรียกของข้าพเจ้า คือองค์ความรักนั่นเอง!"

ในปี 1896 เธอได้ไอออกมาเป็นเลือด โดยไม่ได้บอกใครเธอยังคงทำงานต่อไปจนกระทั่งเธอเจ็บหนัก หนึ่งปีหลังจากนั้นทุกคนรู้ว่าเธอไม่สบาย สุขภาพของเธอทรุดลง เธอไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน และรู้ว่าเธอจะต้องตายในวัยสาว พี่สาวปอลลีน ได้ขอร้องเธอเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่เธอยังจำได้ในสมุดบันทึกประจำวันของอาราม

ความเจ็บปวดของเธอรุนแรงมากจนเธอพูดว่า ถ้าไม่มีความเชื่อเธอคงจบชีวิตของเธอไปนานแล้ว แต่เธอพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส และร่าเริงตลอดเวลา จนหลายคนคิดว่าเธอแกล้งไม่สบาย ความใฝ่ฝันอันเดียวของเธอคืองานของเธอหลังจากที่เธอจากโลกนี้ไปแล้ว ช่วยเหลือคนที่อยู่บนแผ่นดินนี้ เธอพูด: "ฉันจะกลับมาใช้โลกนี้เป็นสวรรค์ของฉัน" เธอสิ้นใจวันที่ 30 กันยายน 1897 อายุ 24 ปี เธอคิดว่าเป็นพระพรของพระเป็นเจ้าที่เธอสิ้นใจในอายุนั้น เธอมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเธอมีพระกระแสเรียกของพระสงฆ์ และพระเป็นเจ้าอนุญาตให้เธอสิ้นใจในอายุที่เธอได้รับศีลอนุกรมถ้าเธอเกิดมาเป็นผู้ชาย

หลังจากเธอหมดลมหายใจแล้ว ทุกสิ่งในคอนแวนต์ดำเนินไปตามปกติ พี่สาวปอลลีน ได้รวบรวมสิ่งต่างๆ ที่เธอได้เขียนไว้เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง และได้ส่งไปแจกตามอารามต่างๆประมาณ 2,000 เล่ม วิธีเล็กๆของเธอ: การวางใจในพระเยซูเจ้าและการพลีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน ทำให้เธอเป็นคนศักดิ์สิทธิ์และบรรลุความดีครบครัน ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากคริสตชนทั่วไป และจากคนที่ต้องการแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตสามัญชน ในปี 1925 เธอได้รับแต่งตั้งเป็นนักบุญ

นักบุญเทเรซาแห่งลิซิเออร์ เป็นองค์อุปถัมภ์การแพร่ธรรมในต่างแดน ไม่ใช่เพราะเธอเคยเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ แต่เพราะเธอมีความรักพิเศษต่อการแพร่ธรรม บทภาวนาและจดหมายของเธอสนับสนุนงานแพร่ธรรม นี่เป็นสิ่งเตือนใจเราทุกคนว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำสุดความสามารถในชีวิตประจำวันสามารถบำรุงรักษาและขยายพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้

Cardbirthday

Cardbirthday

work

work

Before

Before

After

After